เอกชนย้ำทุกวันทวงเร่งรัฐฉีดวัคซีนยิ่งช้ายิ่งกระทบศก.หนัก
Written by Arin P. นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจเอฟทีไอ โพล ของส.อ.ท. ประจำเดือนมี.ค.ภายใต้ หัวข้อ “ความเห็นต่อการบริหารจัดการวัคซีน โควิด-19 และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว” ว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ที่ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่ 79.6% ยังมีความกังวลต่อการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ที่ยังมีความล่าช้าและจำนวนไม่เพียงพอ หากภาครัฐมีการฉีดวัคซีนล่าช้าจะส่งผลอย่างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ผลการสำรวจยังได้ระบุว่า รัฐบาลควรเร่งจัดซื้อและอนุญาตนำเข้าวัคซีนให้เพียงพอ รวมทั้งเปิดให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)มาให้บริการแก่ประชาชนได้ โดยภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมให้เอกชนสั่งซื้อวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. มาฉีดให้แก่แรงงาน เช่น การนำค่าวัคซีนไปหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า, การสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% ให้แก่สถานประกอบการ
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังมีความ กังวลนโยบายการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวคิดเป็น 50.8% และการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนคิดเป็น 45.5% เมื่อถามถึงความสำคัญของแผนบริหารจัดการวัคซินโควิด-19 ของภาครัฐว่ารัฐบาล ควรเร่งดำเนินการในเรื่องใด พบว่า 3 อันดับแรก ให้ความสำคัญเร่งรัดจัดซื้อวัคซีนและอนุญาตนำเข้าวัคซีนมาใช้ในประเทศให้เพียงพอ คิดเป็น 77% รองลงมาเป็นเรื่องความร่วมมือกับภาคเอกชนในการบริหารและกระจายการฉีดวัคซีน 68.6% และความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมายและระยะเวลาการฉีดวัคซีน 57.6%
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจยังได้เจาะลึกถึงการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว พบว่า ปัจจัยที่จะมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 3 อันดับแรก ผู้บริหารส.อ.ท. ยังให้ความสำคัญจำนวนวัคซีนที่เพียงพอและความรวดเร็วในการฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศ ไม่น้อยกว่า 50% คิดเป็น 78 % รองลงมาเป็นเรื่องกฎระเบียบในการเดินทางเข้าออกประเทศ อาทิ การนำวัคซีนพาสปอร์ตมาใช้สำหรับการเดินทางเข้าออกประเทศ รวมทั้งมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศ คิดเป็น 72.8%
นายสุพันธุ์ กล่าวว่า หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวและเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในยุคนิวนอมัล โดย 3 อันดับแรก พบว่า ให้ความสำคัญกับการปรับบิสสิเนส โมเดล เพื่อสร้างความสมดุลในการดำเนินธุรกิจ รองลงมาเป็นเรื่องการพัฒนาสินค้าและบริการที่เน้นสุขอนามัยและความปลอดภัย และสุดท้ายเป็นเรื่องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ และรุกตลาดแบบดิจิทัล