ปตท.ร่วม สกัดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ส่งไบโอดีเซลเพิ่มประสิทธิภาพเผาใหม้ในเครื่องยนต์
Written by Arin P.![](/images/27026305.jpg)
นอกจาก ลมฟ้า อากาศ ที่แต่ละคนต้องรีเช็คแต่ละวัน ว่า จะร้อนหรือเย็นไหม!!!!! ยังต้องมา รู้จักกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ปกคลุมท้องฟ้าในกรุงเทพฯ และภาคเหนืออีก และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เอง รัฐบาลยกให้การแก้ปัญหาฝุ่น เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมด้วยแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง"
เห็นได้ว่า ตลอดสัปดาห์ หลังหยุดยาวปีใหม่ โรงงาน ธุรกิจเปิดกิจการ ฝุ่นละอองกลับมาปกคลุมท้องฟ้ามหานครอีกครั้ง ค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่งพรวดพราดขึ้นมาอีก ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการ ต่างๆ ทั้งมาตรการในระยะเร่งด่วนหรือระยะวิกฤต เช่น การตรวจดักจับรถที่มีควันดำสูง ถี่ขึ้น การปรับเปลี่ยนการใช้นำมันเชื้อเพลิงของรถเมล์ ขสมก. ตั้งแต่เดือน ก.พ. ปีที่แล้ว และการขอความร่วมมือเอกชนผู้ก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าคืนผิวจราจรให้มากที่สุด
ทั้งนี้ในด้านภาคประกอบการ โดยกลุ่มปตท. ได้เตรียมพร้อมนำแผนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงฝุ่นละออง PM 2.5 โดยสถาบันการนวัตกรรม PTT พร้อมศึกษาวิจัยเชื้อเพลิงมาอย่างต่อเนื่องมากว่า 20 ปี โดยคุณวิทวัส สวัสดิ์-ชูโต ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม PTT กล่าวว่า กลุ่ม PTT มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินตามพันธกิจ การสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม
สำหรับสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ PTT ได้ดำเนินงาน ด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล เนื่องจากไบโอดีเซลผลิตจากน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด เผาไหม้สมบูรณ์ มีกำมะถันและสารอะโรเมติกส์ต่ำ ค่าซีเทนสูง และยังมีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ พบว่า รถกระบะเครื่องยนต์ยูโร 4 ที่ใช้ B10 สามารถช่วยลด PM2.5 ได้ถึงร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับการใช้ B7
สถาบันนวัตกรรม ยังได้ร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการทดสอบการใช้ B10 และ B20 เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้งานจริง สำหรับการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซล ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงโรงกลั่น เพื่อรองรับความต้องการใช้เชื้อเพลิงยูโร 5 คุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต กลุ่ม PTT ยังได้กำหนดกระบวนการผลิตและกระบวนการปฏิบัติการให้ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น อาทิ การบริหารจัดการรถยนต์ของผู้รับเหมาในโครงการ ให้เพิ่มปริมาณขนส่งต่อเที่ยวรถ ให้มีการตรวจสภาพและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ เป็นต้น และด้านการดูแลสุขภาพพนักงาน PTT ได้มีการติดตามสถานการณ์เป็นประจำทุกวัน และส่ง SMS ให้พนักงานได้รับทราบ โดยได้แจกหน้ากาก N95 เพื่อเป็นการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ ยังมีการประกาศมาตรการ Work@Home อนุญาตให้พนักงานที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ได้แก่ ปทุมธานี ชลบุรี กาญจนบุรี นครราชสีมา สระบุรี พระนครศรีอยุธยาฯ และกรุงเทพมหานคร สามารถทำงานที่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญปัญหามลภาวะดังกล่าว และร่วมบรรเทาปัญหามลภาวะฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่รอบสถานประกอบการอีกด้วย
สำหรับการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกและสร้างการตระหนักรู้เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม PTT ได้นำองค์ความรู้การปลูกป่า มาเป็นต้นแบบประยุกต์ใช้ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างพื้นที่สีเขียว เกิดใจรักษ์ และหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติผ่านแคมเปญ “ปลูกเพื่อเปลี่ยน” พร้อมร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย ภายใต้ “โครงการ Green Bangkok 2030”
PTT มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรม ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับการบริหารจัดการความยั่งยืน 3 ด้าน (3P) อย่างสมดุล ประกอบด้วย การทำธุรกิจควบคู่กับการดูแลชุมชนและสังคม (People) การอนุรักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Planet) และเป็นฐานความมั่นคงให้แก่ภาคเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน (Prosperity)